วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Key man Protection



        การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Key man หรือบุคคลสำคัญของธุรกิจ ก็คือ กรรมการซึ่งกรรมการส่วนใหญ่ก็คือเจ้าของธุรกิจเองดังนั้น  การทำประกันบุคคลสำคัญ Key man จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อธุรกิจในประเทศไทย เพราะ การดำเนินธุรกิจทั้งการลงทุน แนวคิดการบริหารองค์กร แนวคิดทางการตลาด รวมถึงความเชื่อมั่นของคู้ค้าทางธุรกิจ ก็มีความเสื่อมั่นในตัวบุคคลเป็นสำคัญ ดังนั้นหาก ธุรกิจสูญเสีย กรรมการซึ่งเป็นบุคคลสำคัญขององค์กร ซึ่งการเกิดขึ้นได้จากการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต ก็จะส่งผลต่อการดำเนินการของธุรกิจอย่างหลีกเลื่ยงไม่ได้
      

      ดังนั้นการทำประกันบุคคลสำคัญ Key man ในประเทศไทย จึงเกิดจากเหตุผลหลักที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1. คุ้มครองธุรกิจ ป้องการกันการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าทางธุรกิจ
2. นำใบเสร็จของการทำประกันชีวิต มาใช้ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ในปริมาณที่เหมาะสมและสรรพกรยอมรับได้

ความสำคัญของการทำประกัน บุคคลสำคัญ Key man

ความสำคัญของการทำประกัน บุคคลสำคัญ Key man
   
    ประการแรก : 
คุ้มครองธุรกิจ ป้องการกันการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าทางธุรกิจ
     ถ้าคุณสูญเสียบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  มันอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจหรือการชะลอการเติบโตของธุรกิจของคุณ คุณอาจพบการสูญเสียความเชื่อมั่นในธุรกิจ จากพนักงาน ผู้ถือหุ้น ลูกค้าและซัพพลายเออร์  จากการสูญเสียบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  ถ้าปล่อยให้พนักงาน ลูกค้าและซัพพลายเออร์ ติดต่อบริษัทอื่น ๆ ผลสุดท้ายในที่สุดอาจนำไปสู่​​การสูญเสียของผลกำไรและปิดกิจการได้  ด้วยการประกัน Key Man หรือประกันบุคคลสำคัญ   เป็นการจ่ายเงินที่สามารถช่วยให้คุณสามารถปกป้องธุรกิจของคุณและทำให้การที่ทำงานของคุณดำเนินต่อไปได้   ช่วยให้คุณสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมที่นำออกมาโดยบุคคลสำคัญนั้นได้  มันจะช่วยให้มีค่าใช้จ่ายในการสรรหาและการฝึกอบรมบุคคลที่จะมาทำงานแทน และจะช่วยให้คุณมีค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องในขณะที่ระดับของยอดขายขายคุณลดลง  จากการขาดบุคคลสำคัญ หรือเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาภายนอกหรือผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำในการดำเนินธุรกิจคุณต่อไป ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับ ตัวพนักงานและลูกค้า  เนื่องจากการปฏิบัติการในเชิงบวกจะถูกนำมาใช้ รองรับการทำงานภาระทางการเงินมีทางเลือกสำรองให้กับธุรกิจ  
 
    ประการที่สอง : นำใบเสร็จของการทำประกันชีวิต มาใช้ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท
     การทำประกันบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  บริษัทสามารถนำ ใบเสร็จ จากการทำประกันบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายขององค๋กรได้ การประกันภัยชีวิตบุคคลสำคัญ คุณสามารถเลือกทำการประกันชีวิตเพียงอย่าเดียวหรือพร้อมค่ารักษาพยาบาลจากเจ็บป่วยหรือประกันชีวิตทั้งสองอย่างก็ได้ คุณสามารถเลือกระดับที่แตกต่างของการประกันภัย ตามระดับความสำคัญของบุคคลผู้เข้าร่วมโครงการ
      การทำประกันบุคคลสำคัญ นำ ใบเสร็จ มาเป็นค้าใช้จ่ายขององค์กรได้

ความสำคัญของการทำประกัน บุคคลสำคัญ Key man

ความสำคัญของการทำประกัน บุคคลสำคัญ Key man
   
    ประการแรก : 
คุ้มครองธุรกิจ ป้องการกันการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าทางธุรกิจ
     ถ้าคุณสูญเสียบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  มันอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจหรือการชะลอการเติบโตของธุรกิจของคุณ คุณอาจพบการสูญเสียความเชื่อมั่นในธุรกิจ จากพนักงาน ผู้ถือหุ้น ลูกค้าและซัพพลายเออร์  จากการสูญเสียบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  ถ้าปล่อยให้พนักงาน ลูกค้าและซัพพลายเออร์ ติดต่อบริษัทอื่น ๆ ผลสุดท้ายในที่สุดอาจนำไปสู่​​การสูญเสียของผลกำไรและปิดกิจการได้  ด้วยการประกัน Key Man หรือประกันบุคคลสำคัญ   เป็นการจ่ายเงินที่สามารถช่วยให้คุณสามารถปกป้องธุรกิจของคุณและทำให้การที่ทำงานของคุณดำเนินต่อไปได้   ช่วยให้คุณสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมที่นำออกมาโดยบุคคลสำคัญนั้นได้  มันจะช่วยให้มีค่าใช้จ่ายในการสรรหาและการฝึกอบรมบุคคลที่จะมาทำงานแทน และจะช่วยให้คุณมีค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องในขณะที่ระดับของยอดขายขายคุณลดลง  จากการขาดบุคคลสำคัญ หรือเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาภายนอกหรือผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำในการดำเนินธุรกิจคุณต่อไป ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับ ตัวพนักงานและลูกค้า  เนื่องจากการปฏิบัติการในเชิงบวกจะถูกนำมาใช้ รองรับการทำงานภาระทางการเงินมีทางเลือกสำรองให้กับธุรกิจ  
 
    ประการที่สอง : นำใบเสร็จของการทำประกันชีวิต มาใช้ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท
     การทำประกันบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  บริษัทสามารถนำ ใบเสร็จ จากการทำประกันบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)  มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายขององค๋กรได้ การประกันภัยชีวิตบุคคลสำคัญ คุณสามารถเลือกทำการประกันชีวิตเพียงอย่าเดียวหรือพร้อมค่ารักษาพยาบาลจากเจ็บป่วยหรือประกันชีวิตทั้งสองอย่างก็ได้ คุณสามารถเลือกระดับที่แตกต่างของการประกันภัย ตามระดับความสำคัญของบุคคลผู้เข้าร่วมโครงการ
      การทำประกันบุคคลสำคัญ นำ ใบเสร็จ มาเป็นค้าใช้จ่ายขององค์กรได้

ได้อะไรจากการประกัน Key mam

ได้อะไรจากการประกัน Key mam
  • นำใบเสร็จมาเป็นค่าใช้จ่ายขององค์กร
  • ทายาทของ กรรมการได้เงินก้อนโต เพื่อใช้ในการบริหารธุรกิจ
  • ใช้เป็นสวัสดิการณ์ของ กรรมการ โดยไม่ต้องใช้เงินของบริษัทการรักษา
  • เงินก้อน กรณีบุคคบสำคัญเกิดทุพพลภาพ ทำงานไม่ได้
  • ได้รับการชดเลยรายได้ ระหว่างการเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บในโรงพยาบาล
       ค่าใช้จ่ายของการประกันชีวิตบุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)   แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับของพนักงานหรือผู้ที่ต้องการทำประกัน บุคคลที่สำคัญของธุรกิจ  ( key man)   โดยต้องผ่านวาระการประชุม  แต่ถ้าคุณไม่สามารถซื้อประกันเต็มจำนวนได้ คุณสามารถกำหนดได้ โดยอาศัยปัจจัยดังนี้
  • ผลกำไรของธุรกิจของคุณ  ผลกระทบจากการสูญเสียบุคคลสำคัญสำคัญอย่างไร 
  • หากต้องหาคนเข้ามาแทนที่ คุณจะเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร ในการฝึกอบรมและการเปลี่ยน? 
คำนวณเบี้ยประกัน Key man ที่เหมาะสม
  • ภาษีเงินได้ นำมาพิจารณา 10%  หารด้วย 20%
    ตัวอย่าง
    บริษัท A  มีภาษีที่ต้องชำระ 1,000,000 บาท
    นำมาคำนวณ 10% >  1,000,000 x 10% =  100,000 บาท
    หาเบี้ยประกันที่เหมาะสม 100,000 / 20% = 500,000 บาท
    ดังนั้น เบี้ยประกันที่เหมาะสม สำหรับบริษัท A อยู่ที่ 500,000 บาท ของ กรรมการทุกคน
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณธิติวัฒน์ วัฒนพลไพศาล ที่ปรึกษาทางการเงิน โทร 087-551554,081-6571818

ใบเสร็จค่าใช้จ่ายในธุรกิจ คือการสร้างรายจ่ายให้กับธุรกิจ ในปริมาณที่เหมาะสม ถูกกฏหมายและยอมรับได้ของกรมสรรพกร


   ใบเสร็จ หรือ การลงทุนโดยสร้างรายจ่ายทั่วไปนั้น  เมือเวลาผ่านไป มูลค่าก็จะเหลือน้อยลง
เช่น      บริษัท A สร้างรายจ่าย โดยการซื้อ Computer มูลค่า 100,000 บาท หมุนเวียกับค้าใช้จ่ายอย่างอื่น เป็นเงิน 100,000 บาท/ปีเมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี ทรัพย์สินที่ซื่อมามีมูลค่าคงเหลือเพียง  10,000 บาท 


        บริษัท B  สร้างรายจ่าย โดย การลงทุนผ่าน กรมธรรม์ประกันชีวิต มูลค่า 100,000 บาท/ปี  เป็นเวลา 20 ปี เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี ทรัพย์สินเงินสดที่ลงทุนผ่านกรมธรรมื คงเหลือมูลค้าเงินสดที่ 2,000,000 บาท 


ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณธิติวัฒน์ วัฒนพลไพศาล ที่ปรึกษาทางการเงิน โทร 087-555-1554,081-6571818

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มาตรา 48 เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้


        การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Key man หรือบุคคลสำคัญของธุรกิจ ก็คือ กรรมการซึ่งกรรมการส่วนใหญ่ก็คือเจ้าของธุรกิจเองดังนั้น  การทำประกันบุคคลสำคัญ Key man จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อธุรกิจในประเทศไทย เพราะ การดำเนินธุรกิจทั้งการลงทุน แนวคิดการบริหารองค์กร แนวคิดทางการตลาด รวมถึงความเชื่อมั่นของคู้ค้าทางธุรกิจ ก็มีความเสื่อมั่นในตัวบุคคลเป็นสำคัญ ดังนั้นหาก ธุรกิจสูญเสีย กรรมการซึ่งเป็นบุคคลสำคัญขององค์กร ซึ่งการเกิดขึ้นได้จากการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต ก็จะส่งผลต่อการดำเนินการของธุรกิจอย่างหลีกเลื่ยงไม่ได้
      

      ดังนั้นการทำประกันบุคคลสำคัญ Key man ในประเทศไทย จึงเกิดจากเหตุผลหลักที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1. คุ้มครองธุรกิจ ป้องการกันการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อคู่ค้าทางธุรกิจ
2. นำใบเสร็จของการทำประกันชีวิต มาใช้ เป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ในปริมาณที่เหมาะสมและสรรพกรยอมรับได้



มาตรา 48 เงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้
    (1) เงินได้พึงประเมินเมื่อได้หักตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 47 หรือมาตรา 57 เบญจ แล้วเหลือเท่าใดเป็นเงินได้สุทธิ ต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้
( ประกาศของคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2520 ใช้บังคับสำหรับเงินได้ปีภาษี พ.ศ. 2520 เป็นต้นไป )
ดูพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 376) พ.ศ.2544 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.119/2545 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.120/2545 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.122/2545 )
    (2) สำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป การคำนวณภาษีตาม (1) ให้เสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของยอดเงินได้พึงประเมิน
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2534 ใช้บังคับปีภาษี 2535 เป็นต้นไป )
(พระราชกฤษฏีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 480) พ.ศ. 2552")
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.119/2545 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.120/2545 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.122/2545 )
    การนับจำนวนเงินได้พึงประเมินตาม (2) ไม่รวมถึงเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1)
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2521 ใช้บังคับปีภาษี 2522 เป็นต้นไป )
    (3) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4) (ก) และ (ช) ดังต่อไปนี้
         (ก) ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงินที่ได้จากบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคลอื่น ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ดอกเบี้ยที่ได้จากสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้น สำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
ดูพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 290) พ.ศ. 2538 )
( ดูคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 19/2533 )
         (ข) ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก
         (ค) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนพันธบัตร หุ้นกู้ หรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้ เฉพาะที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2534 ใช้บังคับ 7 พ.ย. 2534 เป็นต้นไป )
    ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) ที่ได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรมหรืออุตสาหกรรม
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2534 ใช้บังคับปีภาษี 2535 เป็นต้นไป )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.119/2545 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.122/2545 )
    (4) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได้ เฉพาะเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ที่ได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มา โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ดังต่อไปนี้/td>
    (ก) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้ เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดคูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย
(ข) เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจาก (ก) ให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฏีกา เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิ แล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครองได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2535 ใช้บังคับ 27 ก.พ. 2535 เป็นต้นไป )
ดูพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 165) พ.ศ.2529 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.61/2539 )
ดูคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.100/2543 )
    ในกรณีที่เสียภาษีโดยไม่นำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) เมื่อคำนวณภาษีแล้วต้องเสียไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาขาย
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 ใช้บังคับ 1 ก.พ. 2529 เป็นต้นไป )
    ในกรณีที่เสียภาษีโดยนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้ตาม (ก) หรือตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาตาม (ข) แล้วแต่กรณี เหลือเท่าใดนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อย่างอื่น
    คำว่า "จำนวนปีที่ถือครอง" ใน (ก) หรือ (ข) หมายถึงจำนวนปีนับตั้งแต่ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าเกินสิบปีให้นับเพียงสิบปี และเศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2525 ใช้บังคับ 27 ก.พ. 2525 เป็นต้นไป )
ดูคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 18/2533 )
    (5) ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตาม (1) และ (2) ก็ได ้สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงานและได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด โดยให้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวหักค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากับ 7,000 บาท คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานแต่ไม่เกินเงินได้พึงประเมิน เหลือเท่าใดให้หักค่าใช้จ่ายอีกร้อยละ 50 ของเงินที่เหลือนั้น แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้
    ในกรณีเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จจำนวนหนึ่งและเงินบำนาญอีกจำนวนหนึ่ง ให้ถือว่าเฉพาะเงินที่จ่ายในลักษณะเงินบำเหน็จเป็นเงินซึ่งนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน และให้ลดค่าใช้จ่ายจำนวน 7,000 บาท ลงเหลือ 3,500 บาท
    จำนวนปีที่ทำงานตามวรรคหนึ่ง ในกรณีเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ทางราชการจ่าย ให้ถือจำนวนปีที่ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณเงินบำเหน็จหรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันนั้นตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับของทางราชการ
    ในการคำนวณจำนวนปีที่ทำงาน นอกจากกรณีตามวรรคสาม เศษของปี ถ้าถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ถือเป็นหนึ่งปี ถ้าไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสามวันให้ปัดทิ้ง
( พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2534 ใช้บังคับปีภาษี 2535 เป็นต้นไป )
ดูประกาศอธิบดีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) )
    ถ้าภาษีเงินได้ที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแล้วมีจำนวนต่ำกว่า 5 บาท เป็นอันไม่ต้องเรียกเก็บ
( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 18 ) พ.ศ. 2504 ใช้บังคับปีภาษี 2505 เป็นต้นไป )
    มาตรา 48 ทวิ ให้องค์การของรัฐบาลเสียภาษีเงินได้แทนผู้ขายสินค้าทอดหนึ่งทอดใดหรือทุกทอดที่ซื้อสินค้าขององค์การของรัฐบาล ตามวิธีการ อัตรา และประเภทสินค้าตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ทั้งนี้เฉพาะสำหรับเงินได้จากการขายสินค้านั้น
( ประกาศของคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2520 ใช้บังคับปีภาษี 2520 เป็นต้นไป )
ดูกฎกระทรวง ฉบับที่ 134 (พ.ศ. 2516) )
    ภาษีที่เสียแทนตามวรรคหนึ่งให้ถือเป็นเครดิตของผู้เสียภาษีในการคำนวณภาษี
( พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2525 ใช้บังคับปีภาษี 2525 เป็นต้นไป )ดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก  http://www.rd.go.th/publish/5937.0.html

Key man Protection | แนวคิดทางบัญชี | กฏหมายคำสั้งสรรพกร | คำถามที่พบบ่อย | Promotion พิเศษ | เกี่ยวกับเรา